Noctunalism เสพย์ติดกลางคืน - Noctunalism เสพย์ติดกลางคืน นิยาย Noctunalism เสพย์ติดกลางคืน : Dek-D.com - Writer

    Noctunalism เสพย์ติดกลางคืน

    เรื่องนี้แต่งจากประสบการณ์จริงของนายจันทร์เสี้ยวเองครับ ส่วนไหนเป็นส่วนจริงคงต้องเก็บไว้ให้เดากันเอง ...

    ผู้เข้าชมรวม

    156

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    156

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 พ.ย. 53 / 10:27 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ผมเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ย้ายบ้านพร้อมครอบครัวจากในตัวเมืองMegalopolisอันวุ่นวาย ออกไปยังชานเมือง แต่ถึงอย่างนั้นสถานที่ๆย้ายมาอยู่ใหม่นั้นก็ไม่ค่อยจะต่างจากในตัวเมืองสักเท่าไหร่นัก แม้จะมีต้นไม้ที่ขึ้นชุกชุมตามริมสองฝั่งของถนนในซอยใหญ่


      รถราก็ยังคงแน่นขนัดในช่วงเวลาเร่งด่วนอยู่ดี ถึงผมจะบ่นแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ชอบชานเมืองแบบนี้ไปเสียทั้งหมด สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีกับที่อยู่ใหม่นั่นก็คือ บรรยากาศในตอนกลางคืน และต้องเป็นช่วงเวลาตั้งแต่5ทุ่มจนถึงตี2 ด้วย ผมจะอธิบายมันอย่างไรดี... ความรู้สึกที่เดินเล่นช่วงเวลากลางคืนมันแตกต่างจากช่วงเวลากลางวันโดยสิ้นเชิง


      ในตอนกลางวัน สภาพอากาศร้อนอบอ้าวที่ทำให้ร่างกายต้องเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ร้านค้าเข็นขายระเกะเกะกะบนทางเท้าสร้างความรำคาญแก่ทัศนประสาท รถราตรงสี่แยกที่ปล่อยควันสีเทาออกมาทำลายนาสิกประสาทและเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มของรถสิบล้อที่แล่นผ่านไปมาซึ่งรบกวนโสตประสาท


      แต่ในตอนกลางคืนนั้น อากาศเย็นสบายตัว ทางเท้าที่ไม่มีอะไรมาตั้งเกะกะขวางทางให้รกตา กลิ่นหอมของพืชไม้นานาพันธุ์ที่ส่งกลิ่นออกมาช่วยผ่อนคลายจมูก จนต้องสูดลมหายใจเพื่อรับกลิ่นของมันให้ชุ่มปอด สัญญาณไฟแดงตรงสี่แยกที่ยังคงทำหน้าที่ต่อไปแม้ไม่มีรถยนต์อยู่เลยสักคัน


      ถนนที่โล่งเสียจนไปวิ่งซิกแซกอยู่กลางถนนก็ยังได้ เสียงแมลงต่างๆที่ร้องเป็นจังหวะราวกับกำลังขับกล่อมดนตรีให้คนที่เดินผ่านไปมาอย่างผมฟัง สะพานข้ามคลองที่แทบไม่มีอะไรชวนให้มองเลยแม้แต่นิดเดียวในตอนกลางวันกลับกลายเป็นสะพานข้ามคลองสีดำมะเมี่ยมซึ่งสะท้อนเงาจันทร์ในยามค่ำคืน


      ไม่เพียงแค่นั้นความรู้สึกยามที่ผมได้เดินผ่านริมฝั่งถนนตอนกลางดึกนั้นมันเร้าอารมณ์ ความคิดและจินตนาการ มันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ลองคิดเล่นๆว่า

      ในพุ่มไม้หนาทึบนั่น มีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่านะ?

      แล้วในถุงขยะสีดำนั่นจะมีคนเอาศพมาทิ้งไว้หรือเปล่า?

      แล้วถ้าผมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ๆถังขยะสีเหลืองอ๋อยนั่นจะมีมือมาคว้าคอผมไปต่างมิติหรือเปล่า?

      แล้วคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งของถนนในตอนมืดๆแบบนี้ใช่คนปกติหรือเปล่า? 

      แล้วถ้ายามที่ปกติเอาแต่หลับอยู่ในป้อมกลับทักทายเราขณะเดินผ่านล่ะจะทำยังไง?

      ยังมีความประทับใจอีกมากมายที่ผมสาธยายเกี่ยวกับกลางคืนได้ไม่หมด

      แต่ถึงอย่างนั้นพอที่บ้านรู้เรื่องที่ผมออกเดินตอนกลางคืนเข้า ก็ถูกตักเตือนเรื่องภัยอันตราย โดยเฉพาะแม่ที่เป็นห่วงถึงขนาดที่ถ้าผมกลับหลังเวลาแม่ก็จะนั่งรออยู่จนกว่าจะกลับ ส่วนพ่อต้องออกไปจากบ้านแต่เช้าเลยเข้านอนก่อน เจน, น้องสาวของผมก็เช่นกัน


       ผมเองก็มักจะบอกแม่เสมอว่า

      “ผมเป็นผู้ชายนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผมมากนักก็ได้ ไม่มีใครลากผมไปกระทำชำเราหรอก แม่นอนดึกแบบนี้ เสียสุขภาพเปล่าๆ พอถึงเวลาเดี๋ยวผมก็กลับมาเองแหละ”


       แรกๆแม่ก็ไม่ยอมฟังแต่พอผมพกมือถือไปด้วยก็ช่วยลดความกังวลของแม่ได้บ้าง นอกจากคนในครอบครัวที่มักจะเตือนเรื่องการเดินเล่นตอนกลางคืนของผมแล้ว ก็ยังมีชายแปลกหน้าผมทอง  ตัวสูงโปร่ง สวมหมวกคล้ายๆนักมายากล เสื้อคลุมกันหนาวปกคอสูงสีดำ ซึ่งผมบังเอิญเจอตอนที่ยังอยู่บ้านเก่าในตัวเมือง


      ในขณะนั้นผมคิดจะลองเดินสำรวจอีกด้านหนึ่งของเมืองที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งเสื่อมโทรม เขายืนพิงกำแพงเหมือนกำลังรอใครบางคนอยู่ และเมื่อเขาเห็นผม เขาก็พูดขึ้นมาอย่างจงใจว่า
      “ถ้าไม่จะอยากก้าวล่วงเข้าไปอีกโลกหนึ่ง ก็เลิกเดินเที่ยวกลางคืนเถอะ” ในตอนนั้นผมคิดว่าเขาต้องรู้แน่ๆว่าผมคิดจะลองเดินไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเมือง


      อีกฝั่งของเมืองนี่เป็นเสมือนอีกโลกหนึ่งจริงๆหรือเนี่ย คำพูดของเขาในคืนนั้นทำให้ผมไม่ก้าวล่วงไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเมืองแต่ในใจผมก็ยังคงคิดอยากที่จะเห็นอีกฝั่งหนึ่งของเมืองอยู่ดี แต่ในท้ายที่สุดผมก็ไม่ได้เห็นเพราะย้ายมาอยู่ชานเมืองเสียก่อน


      คืนที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของผมเป็นคืนวันเสาร์ คืนนั้นเป็นคืนที่ฝนตกพรำๆถนนเฉอะแฉะจนดูน่ากลัวสำหรับนักซิ่งมอเตอร์ไซ ผมก็ยังคงเดินกลับบ้านเหมือนอย่างทุกวัน แต่บรรยากาศในค่ำคืนที่ฝนตกกลับให้ความรู้สึกดีกว่าค่ำคืนปกติเสียอีก ผมเดินอยู่บนฝั่งซ้ายของถนนอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงหน้าปากซอยแล้ว แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมตกใจจนเหมือนจิตตัวเองหลุดออกมา รถสิบล้อที่เปิดไฟหน้าสว่างจ้าได้แล่นเฉียงสวนเลนถนนเหมือนคนเมาเดินบนเส้น แสงจากไฟหน้าที่ส่องเข้าตาจนทำให้ผมต้องยกมือขึ้นมาบังตาตัวเองไว้ เสียงดังสนั่นเพราะการชนกับอะไรบางอย่างของรถสิบล้อคันนั้น


      เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและหันไปดูอีกฝั่งของถนนก็เห็นว่า รถสิบล้อคันนั้นไปจอดอยู่ที่ฝั่งขวาของทางเท้าซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามกับฝั่งที่ผมยืนอยู่
      โดยมีเศษกระจก และเศษไฟหน้ากระจุยกระจาย  คนขับรถสิบล้อก็ยังฟุบอยู่หน้าพวงมาลัย ผมรู้สึกโล่งใจที่ไม่เห็นใครเป็นอะไร คนกวาดถนนที่อยู่ห่างออกไปวิ่งมาดู ส่วนผมก็เดินกลับบ้านด้วยความคิดที่ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังไม่อยากไปเป็นพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์จนต้องวิ่งวุ่นขึ้นโรงพักอีกด้วย เพียงแค่เห็นว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเท่านั้นก็พอแล้ว สำหรับคนเดินเล่นตอนกลางคืนอย่างผม


         พอกลับมาถึงบ้าน ผมก็พบว่า พ่อกับเจนเข้านอนแล้ว ส่วนแม่ก็ฟุบหลับอยู่ที่โซฟาทั้งที่ยังถักโครเชร์ ครอสติชหรืออะไรสักอย่างนั่นแหละอยู่ในมือ เนื่องจากคืนนั้นฝนตกอากาศเย็นกว่าปกติ ผมเลยหยิบผ้าห่มมาห่มให้แม่พร้อมกับถอนหายใจเบาๆขณะมองแม่ที่กำลังหลับสบาย และเดินกลับห้องตัวเอง ก่อนทิ้งตัวลงนอนผมควักของในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างออกมาวางไว้บนโต้ะ ทำให้ได้รู้ว่า ผมทำมือถือหาย
      แย่จริง!แต่พอมานึกๆดูแล้วผมเองก็ไม่แน่ใจว่าได้พกมือถือไปด้วยหรือเปล่าตอนเดินเล่น เพราะไม่ว่าจะหาที่ไหนในห้องก็ไม่เจอเลย อาจจะเป็นไปได้ว่า ยัยเจนน่ะแอบหยิบมือถือไปใช้โดยไม่บอกก่อน ไว้พรุ่งนี้ค่อยถามอีกทีดีกว่า


         วันรุ่งขึ้น เป็นเช้าวันอาทิตย์ผมตื่นมาด้วยท่าทางงัวเงียและรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง อย่างแรกคือ การที่เจนตื่นเช้าในวันอาทิตย์แบบนี้ ปกติแล้วตอน8โมงครึ่งผมจะมีหน้าที่ไปปลุกให้ลุกจากเตียง
      อย่างที่สองคือ การที่พ่อออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าในวันอาทิตย์แบบนี้
      และอย่างที่สามคือ การที่แม่ออกไปข้างนอกโดยไม่ทิ้งโน้ตอะไรไว้หน้าตู้เย็น แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ ไม่มีข้าวมื้อเช้าที่ทำทิ้งไว้ ทำให้ผมต้องหันไปพึ่งพาอาหารถ้วยสำเร็จรูปสไตล์ญี่ปุ่น(เรียกให้มันดูดีไปอย่างนั้นแหละ จริงๆก็แค่มาม่าคัพ ...เอ้อ ขอค่าโฆษณาด้วยครับ)  ระหว่างที่รอพวกเขากลับมาผมก็หยิบรีโมตแล้วไปเปิดทีวีดูข่าวดีกว่า


      “รายงานข่าวเด่นของเช้าวันนี้ เกิดอุบัติเหตุรถสิบล้อพุ่งชน...”


      “พอเหอะสำหรับเรื่องอุบัติเหตุรถสิบล้อ แค่เมื่อคืนนี้ก็ขนลุกพอแล้ว” ผมพูดบ่นกับโทรทัศน์พร้อมทั้งเปลี่ยนช่องทันทีโดยไม่ฟังจนจบ


      ขณะที่ผมนอนดูช่องเก้าการ์ตูนซึ่งฉายโดเรม่อนเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจนับได้ ผมก็รู้สึกโหวงๆกลางท้องน้อยและรู้สึกหนาวจับใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ผมคิดว่า คงเป็นเพราะข่าวอุบัติเหตุไปกระตุ้นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้ผมไม่สบายใจ พอผมดูการ์ตูนสาวน้อยเวทย์มนตร์จบ ผมรู้สึกเพลียหมดเรี่ยวแรงเหมือนเป็นไข้ แถมยังมีอาการปวดหัวร่วมด้วย ภาพที่ผมเห็นเริ่มเบลอและมองด้านบนไม่เห็น ผมเดาว่าตัวเองคงเป็นไข้เพราะเดินตากฝนเมื่อคืน เลยเดินไปหยิบแอสไพรินในตู้ยาด้วยความเคยชินแล้วโยนใส่ปากทีเดียว2เม็ด ก่อนจะดื่มน้ำตามแล้วค่อยคลานขึ้นเตียงตัวเองอย่างทุลักทุเล


      ขณะที่นอนผมรู้สึกเหมือนตัวเองดำดิ่งลงในห้วงลึกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ห้วงลึกนั้นค่อยๆดูดประสาทสัมผัสของผมจากปลายนิ้วมือ ปลายนิ้วเท้า ลามขึ้นไปจนถึงศอก หัวเข่า จนผมรู้สึกว่าตัวเองได้จมลงไปในอะไรสักอย่างที่ลึกเหลือคณา


      และในเช้าวันต่อมาซึ่งเป็นวันจันทร์ เมื่อดูนาฬิกาปลุกที่หัวเตียงก็ทำให้ผมได้รู้ว่าตัวเองน่ะตื่นสาย ผมจึงรีบจัดแจงทาแป้ง และเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักเรียน ขณะเปลี่ยนเสื้อผ้าผมรู้สึกว่า เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีดำมันหนักเหลือเกิน นี่คงเป็นเพราะพึ่งฟื้นไข้ใหม่ๆล่ะมั้ง กำลังวังชาเลยถดถอย ผมออกจากบ้านหลังพ่อเพียงครู่เดียวก็เห็นพ่อกำลังเลื่อนประตูเปิดและเตรียมขับรถกระบะสีเงินคันเก่งออกไปทำงาน


      ส่วนยัยเจนนั่งทำหน้านิ่งบนเบาะข้างคนขับโดยไม่ยอมเปิดประตูให้ผมเข้าไปนั่งข้างหลัง ใจร้ายเสียจริงแค่ตื่นสายกับนอนหลับทั้งวันแค่นี้ถึงกับเนรเทศให้ไปนั่งกระบะหลังเลยเรอะ ก็ได้! เอางั้นก็ได้! ผมบอกลาแม่ก่อนที่จะกระโดดขึ้นหลังกระบะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

      ปกติแล้วพ่อมักจะไปส่งผมกับเจนกลางทางเสมอ เพื่อจะได้ประหยัดค่าน้ำมันและค่ารถประจำทางที่ต้องนั่งออกจากปากซอยย่อยในหมู่บ้าน แม้เมื่อวันอาทิตย์ผมจะนอนทั้งวันแต่เช้าวันนี้หัวสมองผมกลับรู้สึกไม่ปลอดโปร่ง มิหนำซ้ำยังเผลอฟุบหลับระหว่างนั่งอยู่หลังกระบะจนเกือบตกรถด้วยซ้ำ



      จนกระทั่งรถกระบะของพ่อจอดเพื่อให้ผมและเจนลง ผมโซซัดโซเซลงจากหลังกระบะ อาการนั่นมันกลับมาอีกแล้ว อาการภาพเบลอ ผมตามเจนไปโดยไม่ดูทางเพราะเธออยู่โรงเรียนเดียวกันกับผม แต่เท่าที่ดูแล้วดูเหมือนเธอไม่ได้ไปโรงเรียน เธอไปไหนกันน่ะ ผมถามเธอ เธอก็ไม่ตอบ

      เธอเดินตรงต่อไปจนถึงอาคารหลังเล็กที่ภายในเปิดแอร์เย็นฉ่ำ พื้นปูด้วยเสื่อสีแดงและมีกลิ่นดอกไม้หอมตลบอบอวล ภาพที่เบลอเริ่มกลับมาชัดขึ้นเมื่อได้เข้ามาในตัวอาคารหลังนี้ สิ่งแรกที่ผมเห็นชัดเจนคือ มือถือของผมที่วางอยู่บนโต้ะสีดำซึ่งทอดตัวเป็นแนวยาว


      “ไหงมาอยู่นี่ได้ล่ะเนี่ย” ผมบ่นอุบอิบก่อนที่จะขยี้ตาตัวเองเพื่อมองว่า ที่นี่มันใช่ที่ส่งคืนของหายหรือเปล่า? และเมื่อสัมผัสกับมือถือห่อซองพลาสติกใสของตัวเอง ภาพเหตุการณ์ในคืนวันเสาร์ทั้งหมดก็ได้ย้อนกลับมาฉายซ้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่ภาพย้อนหลังครั้งนี้มันทำให้ภาพที่ผมเห็นในตอนนี้ชัดเจนยิ่งขึ้น ภายในอาคารที่ผมอยู่ในตอนนี้มันชัดเสียจนไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นความจริง ภาพใบหน้าที่ยิ้มแย้มของผมบนขาตั้งรูป ข้างๆกล่องไม้สีดำขนาดใหญ่ที่ไว้ใช้บรรจุศพ นี่ผม...ยืนหน้าโลงศพตัวเองงั้นหรือเนี่ย...


      “ฮะๆๆ...นี่เป็นตลกร้ายที่เจ๋งที่สุดที่เคยเจอมาเลยล่ะ งานศพคนเป็นงั้นเหรอ?” ผมพูดเสียงดังขณะใช้มือขวากำโทรศัพท์มือถือที่ห่อซองใสแล้วลากเข้าหาตัว แต่ผมทำได้เพียงแค่เลื่อนมันเข้ามาใกล้ตัวในระยะไม่ถึง1ฟุต 


      “ไม่....ไม่ตลกน่า...เอากล้องไปซ่อนไว้ไหน? แล้วอีกเดี๋ยวจะมีพิธีกรถือไมค์พร้อมช่างกล้องเดินออกมาแล้วพูดว่า [ล้อกันเล่นน่า!]ใช่มั้ย?” พ่อยังคงนั่งก้มหน้าอยู่หน้าโลงศพของผม ส่วนเจนก็เริ่มสังเกตเห็นมือถือของผมที่ขยับอยู่บนโลงสีดำแล้ว


      “บอกผมหน่อยเถอะว่าทั้งหมดนี่ มันเป็นแค่เรื่องล้อเล่น!!!”  ผมใช้แรงที่มีทั้งหมดอาละวาดทำลาย กระชากพวงหรีด ชกภาพตัวเองหน้าโลงและทุบโลง แต่ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเหลือแค่เพียง พวงหรีดขยับไปมา ภาพหน้าโลงสั่นไหวเล็กน้อย และมีเสียงดังเหมือนเคาะโลงเท่านั้น ผมหมดแรงไปกับการกระทำที่เปล่าประโยชน์ อีกทั้งยังทำให้พ่อและเจนกลัวอีกด้วย นี่ผมเป็นวิญญาณเฮี้ยนไปแล้วหรือนี่  ผมเดินเข้าไปกอดเจนที่วิ่งหนีออกมาข้างนอกหลังได้ยินเสียงเคาะโลง เธอเป็นคนขี้กลัวแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว



      ถึงจะแกล้งทำเป็นเก่งต่อหน้าผมแต่จริงๆแล้วเธอขี้กลัวที่สุดในบ้าน แต่สิ่งที่ผมคว้ากอดไว้ได้กลับเป็นอากาศธาตุ มันทรมานใจมากที่ผมไม่สามารถปลอบใจน้องสาวที่กำลังตัวสั่นด้วยความกลัวได้อีกต่อไป ผมจะไม่ได้กินอาหารฝีมือแม่ ผมจะไม่ได้เล่นมวยปล้ำกับพ่อ ผมจะไม่สามารถพูดคุยกับใครได้อีกเพราะไม่มีใครได้ยินเสียงของผม ไม่มีใครรับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของผม


      ตัวผมได้ตายไปตั้งแต่คืนนั้นแล้ว มันดูไม่น่าเชื่อแต่ก็เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากที่นั่งคิดเรื่องในอดีตอยู่หน้าโลงศพตัวเองตามลำพังอยู่นาน ผมก็ตัดสินใจที่จะทิ้งร่างกายตัวเองไว้เบื้องหลัง แล้วออกเดินไปเรื่อยๆโดยไร้จุดหมาย ตราบใดที่โลกนี้ยังคงมีค่ำคืน ผมก็ยังคงเดินต่อไป...

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×